“เป่าปี่ใส่หูควาย
ความหมายที่คอยที่ตำ มากมายคิดมองมืดดำ ตอกย้ำว่าโง่เหมือนควาย”
เป็นเนื้อหาท่อนหนึ่งของชื่อเพลง “ไทคม” ทิ่แต่งโดยน้าหมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
ยังจำกันได้อยู่ไหมเอ่ย ก็ไม่ได้คิดที่จะระลึกนึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่เพลงเพื่อชีวิตในบ้านเรายังคงได้รับความนิยมสูงในยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาหรอกครับ
เพียงแต่อยากจะสื่อสารให้ทราบถึงประวัติศาสตร์ในเรื่องของ ICT (Information and Communication Technology) กับวิถีของเกษตรของไทยนั้นแท้จริงก็มีมาเนิ่นนานแล้ว
เพียงแต่ในปัจจุบันอาจมีรูปแบบที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ที่ดูสวยหรูและทันสมัยมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเท่านั้น ด้วยความก้าวล้ำนำสมัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้
สาร (message) สื่อ (Channel) มีรูปร่างหน้าตาผิดแผกแตกต่างไปจากเดิมค่อนข้างมาก
ส่วนผู้ส่งสาร (Sender) และผู้รับสาร (Receiver) นั้นผู้เขียนคิดว่ายังคงเหมือนเดิม (หรืออาจจะมีบางคนคิดว่าผู้รับสารในยุคนี้อาจจะมีความแตกต่างกว่าในอดีตก็เป็นได้นะครับ)
ระบบ ICT กับวิถีของเกษตรไทยนั้นนับวันยิ่งมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น
เพราะช่วยอำนวยความสะดวกสบายในด้านข้อมูลที่เกี่ยวกับอาชีพเกษตรอยู่ค่อนข้างมาก
ไม่ว่าจะเป็น การพยากรณ์ฝน ฟ้า อากาศ ของกรมอุตุนิยมวิทยา
ข้อมูลชุดดินของกรมพัฒนาที่ดิน ที่สามารถให้ข้อมูลแก่เกษตรกรได้ว่าดินแต่ละภูมิภาคนั้นมีลักษณะที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
จะพัฒนาหรือปรับปรุงแก้ไขอย่างไรเพื่อให้ปลูกพืชได้ หรือจะเป็น GIS (Geographic
Information System) บางคนอาจจะงงว่ามันคืออะไร
ก็ขออนุญาตอธิบายพอสังเขปนะครับว่า GIS นั้นก็คือ
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ที่สามารถจะบ่งบอกลักษณะทางภูมิศาสตร์ทางกายภาพของสิ่งต่าง
ๆ บนพื้นโลก เช่น ถนน แม่น้ำ ภูเขา อาคาร สถานที่ สิ่งก่อสร้างต่างๆ พื้นที่ป่าไม้
พื้นที่เกษตรกรรม ระดับความสูงความลึก เป็นต้น
เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐหรือรัฐบาลใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลและบริหารงานรวมทั้งด้านเกษตรก็ใช้ได้ด้วยเหมือนกัน
ถ้าสามารถบริหารจัดการข้อมูลให้เข้าถึงตัวเกษตรกรในช่องทางที่ง่าย
แต่ปัญหาด้านการสื่อสารการเกษตรของไทยก็ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร
ตั้งแต่ปี 2539 ที่ภาครัฐมีนโยบาย IT 2000 (ศูนย์เทคโนโลยีอิเลคทรอนิคส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ, 2545) ที่มีพันธกิจ
3 ด้านคือ 1. การลงทุนในโครงสร้างสารสนเทศพื้นฐานแห่งชาติที่เสมอภาค 2.
การลงทุนในด้านการศึกษาที่ดีของพลเมืองและบุคลากรด้านสาสนเทศ และ 3.
การพัฒนาสารสนเทศและปรับปรุงบทบาทภาครัฐ
เพื่อบริการที่ดีขึ้นและสร้างรากฐานอุตสาหกรรมสารสนเทศแข็งแกร่ง ก็ทำให้ประเทศไทยมีการพัฒนาความสามารถและศักยภาพ
ในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้ผลอยู่เพียงในระดับหนึ่ง จนต่อมา 2545-2549
รัฐบาลยังคงให้ศูนย์อิเล็กทรอนิคและคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)
ได้ดำเนินการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทยต่อจาก
นโยบาย IT 2000 และนโยบายเทคโนโลยีสาสนเทศและการสื่อสาร
2544-2553
ขึ้นเพื่อพัฒนางานด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารของประเทศไทยให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
ซึ่งเป็นนโยบายระยะยาวเป็นเวลา 10 ปี โดยมีเป้าหมายและพันธกิจในการดำเนินการที่ชัดเจนโดยมียุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาครอบคุลมใน
5 ด้านคือ
–
เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาภาครัฐ
(e-Government)
–
เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านพาณิชย์
(e-Commerce)
–
เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม
(e-Industry)
–
เทคโนโลยีสารสนเทศเพือการพัฒนาด้านการศึกษา
(e-Education)
–
เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านสังคม
(e-Society)
(เอกสารประกอบการสอนวิชา
01001551การสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศการเกษตร
รศ.ดร.พิชัย ทองดีเลิศ)
ถึงแม้ว่าการพัฒนาทั้ง
5 ด้านที่ใช้เวลาถึง 10 ปี เกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศไทยเราก็ยังเข้าไม่ถึงข้อมูลในด้านต่างๆ
ที่ภาครัฐจัดเตรียมไว้ให้ได้ เพราะตัวเกษตรกรเองนั้นยังไม่เห็นคุณค่าและความสำคัญของเครื่องมือเครื่องใช้เหล่านี้ว่ามีความจำเป็นต่อตนเองมากน้อยแค่ไหน
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือรับสารอย่างเช่นคอมพิวเตอร์ โน้ตบุค เน็ตบุคฯลฯ แม้ว่าในปัจจุบันจะมีราคาถูกกว่าแต่ก่อนค่อนข้างมาก
แต่เกษตรกรก็ยังไม่ซื้อหามาเก็บไว้ใช้สอยเพราะอาจจะคิดว่าอย่างไรเสียโทรทัศน์ก็น่าจะมีความจำเป็นมากว่า
รับข้อมูลข่าวสารจากช่องของฟรีทีวีต่างๆหรือจากจานดาวเทียม สามารถดูช่องที่ตนเองต้องได้อย่างสะดวกสบาย
อีกทั้งระบบของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet) ก็ยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่
แม้แต่การจัดสรรคัดเลือกระบบเครือข่ายที่ทันสมัยที่สุดในตอนนี้อย่างเช่นระบบ
3 G ที่มีแผนการนำไปใช้แบบใกล้คลอดเต็มที
รัฐก็ยังไม่สามารถที่จะนำออกมาใช้ได้เพราะติดปัญหาการตกลงผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ใช้จนประเทศเพื่อนบ้านของเราได้แซงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของภาครัฐในด้านการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้คอมพิวเตอร์เพื่อรองรับกับนโยบาย
ICT โดยเฉพาะยิ่งการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการเกษตรด้วยแล้วคงยังห่างไกลความจริงอยู่มาก
เพราะถึงแม้ว่าจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องรับสารแล้ว แต่โครงสร้าง
(Profile) เครือข่าย (Network)
รวมทั้งเนื้อหา (Content) ก็ยังไม่สามารถที่จะส่งผ่านมายังตัวของเกษตรกรได้อย่างทั่วถึง
ยังคงใช้งานเป็นระบบปิด (Offline) อยู่ ซึ่งข้อมูลก็แทบจะไม่มีการอัพเดท
หรือมีก็มีอย่างจำกัด ทำให้ไม่เกิดความกระตือรือร้นสนใจในกลุ่มของเกษตรกรให้เกิดความสนใจในเรื่องของ
ICT
ในความเป็นจริงแล้วถ้าภาครัฐสามารถที่จะสนับสนุนปัจจัยพื้นฐานในด้าน ICT
ให้ครอบคลุมถึงประชาชนทุกกลุ่มก็นับว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกรสามารถที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสาร
เพื่อประเทืองปัญญานำมาพัฒนาปรับปรุงแก้ไขในอาชีพการงานของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งเมื่อเจอกับปัญหาด้านการเกษตรในรูปแบบต่างๆ
ก็สามารถที่จะเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนได้โดยมีแนวทาง
มิใช่ต้องลองผิดลองถูกอยู่เรื่อยไปสิ้นเปลืองทั้งเงินและเวลาปัญหาก็ยังแก้ไม่ได้
เมื่อเกิดปัญหาเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์
ก็อาจจะมีบางคนบางกลุ่มบอกให้ไปใช้ที่องค์การบริหารส่วนตำบล ( อบต.) หรือศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร
โดยไม่ได้ดูความเป็นจริงเลยว่าเครื่องคอมพิวเตอร์สองสามเครื่องนั้นกับเกษตรกรทั้งตำบลมันมีความเพียงพอพอดีกันหรือไม่
หรืออาจจะแย้งว่าให้ดูคนเดียวแล้วนำไปบอกต่อๆ กัน ในความจริงมันก็เป็นไปไม่ได้เพราะปัญหาของพี่น้องเกษตรกรนั้นมีความหลากหลายในสายอาชีพเกษตรของเขา
ทั้งปลูกมะเขือ, ฟักแฟง, แตงกวา,อ้อย, ข้าว, ยางพารา, มันสำปะหลัง ฯลฯ แล้วจะให้เขาเหล่านั้นมัวแต่รอหาข้อมูลทั้งหมดจากเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่กี่เครื่องเทียบกับจำนวนผู้ใช้ทั้งตำบลนั้นมันไม่สอดคล้องกัน
จึงยิ่งทำให้ประชาชนหรือเกษตรกรไทยยิ่งมีความรู้สึกเบื่อหน่ายไม่อยากเข้าใกล้คอมพิวเตอร์
ไม่อยากเข้าใกล้ ICT มากไปใหญ่
เพียงเพราะภาครัฐไม่ใส่ใจดูแลอย่างจริงจังให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในด้านเครือข่ายที่ครอบคลุม
และอุปกรณ์การรับสารให้มีราคาที่ซื้อหาได้ง่ายราคาย่อมเยาว์
ก่อนที่จะพัฒนาผู้รับสารต่อไปในอนาคต
สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะพัฒนาระบบ ICT ของไทยมีความก้าวหน้ามีความสัมพันธ์กันทั้งระบบก็คือการพัฒนาตัวของเกษตรกรผู้รับสารหรือผู้ที่จะใช้เทคโนโลยีให้มีความรู้ความสามารถเพิ่มจากเดิมให้มากยิ่งขึ้น
อาจจะต้องมีหน่วยงานที่เข้ามาให้ความรู้ความเข้าใจอย่างจริงจัง
อาจจะมีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้คอมพิวเตอร์ประจำตำบลทุกๆ ตำบล
จัดการฝึกอบรมเป็นรุ่นๆ รุ่นละหลายๆรอบจนกว่าเกษตรกรในแต่ละตำบลทั่วประเทศจะมีความสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้
อีกทั้งก็พัฒนาหลักสูตรการศึกษาภาคปกติให้มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เข้มข้นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เพื่อพัฒนาลูกหลานของพี่น้องเกษตรซึ่งอยู่ในวัยที่แคล่วคล่องว่องไว สามารถเรียนรู้เทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ได้ดีกว่าผู้ใหญ่เพื่อเมื่อเติบโตขึ้นก็สามารถที่จะเป็นบุคคลากรที่มีคุณภาพสามารถรองรับระบบ
ICT ที่ภาครัฐพยายามพัฒนาให้เป็นหน้าเป็นตาแก่ประเทศอวดชาวโลกอยู่ในขณะนี้
มิฉะนั้นก็ไม่สามารถที่จะทำให้ข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีสามารถกระจายไปยังผู้รับสารทั่วประเทศได้
ทำให้การพัฒนาของภาครัฐก็จะล่าช้าขาดทั้งประสิทฺธิภาพและประสิทธิผลเพราะมัวแต่พัฒนาแต่
ICT เพียงด้านเดียวโดยไม่พัฒนาอีกฟากหนึ่งไปพร้อมกันด้วย
ดังนั้นไม่ว่าภาครัฐจะมีมาตรการ
เครื่องมือ เทคโนโลยี และข้อมูลข่าวสารที่มากมายเพียงใด
แต่ถ้าการบริหารจัดการที่ส่งลงไปนั้น
ประชาชนยังคงมีความรู้สึกว่าเครื่องมือหรือวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้รับสารหรือใช้รองรับเทคโนโลยีที่ถูกป้อนมานั้น
ยังไม่สามารถที่จะซื้อง่ายใช้สะดวก (เพราะจะรอของฟรีจากภาครัฐมาใช้ รัฐบาลก็ไม่มีงบประมาณมากพอที่จะซื้อหรือจัดหาให้ประชาชนได้ทุกครัวเรือน)
ดังนั้นสิ่งที่ภาครัฐควรจะส่งเสริมได้ดีที่สุดก็คือ
การวางสาธารณูปโภคพื้นฐานเช่นโทรศัพท์บ้าน เพื่อให้เกษตรกรในชนบทห่างไกลสามารถจะเข้าถึงอินเตอร์เนตได้
และจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ราคาย่อมเยาว์และมีคุณสมบัติที่รองรับเทคโนโลยีจากภาครัฐได้
ไม่ใช่นำคอมพิวเตอร์ราคาถูกมาแต่ใช้ได้แค่เปิดเครื่องเล่นเกมส์ พิมพ์รายงานได้เพียงอย่างเดียว
อย่างอื่นทำไม่ได้เพราะคุณสมบัติไม่ถึงก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ยิ่งทำให้ระบบ ICT ของประเทศไทยคงจะไปไม่ถึงไหนล้าหลังอยู่เช่นนี้เรื่อยไป
เปรียบได้ดังกับการพยายามส่งสารไปยังผู้รับที่ไม่มีมีประสิทธิภาพขาดแคลนเครื่องมือ
หรือตัวผู้รับสารเองก็ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ อย่างนั้นก็จะต่างอะไรเล่ากับการได้แค่เพียง
“เป่าปีให้ควายฟัง” ล่ะเน้อ…
นายมนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com