เทคโนโลยีและภูมิปัญญาไทย ในการแก้ปัญหาภัยแล้งระดับชาติ
ประเทศไทยเรามีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 512,000 ตารางกิโลเมตร หรือถ้าคิดเป็นจำนวนไร่ ก็มี 320,696,888 ไร่ มีพื้นที่เพาะปลูกด้านการเกษตรอยู่ 149,236,233 ตัวเลขนี้เมื่อปี 2556 ของสำนักเศรษฐกิจการเกษตรที่ได้รวบรวมไว้เมื่อปี 2557 และถ้าเราจะลองย้อนกลับไปดูสักสามสี่ปีที่แล้วคือเมื่อปี 2553ลองเปรียบเทียบดูก็จะพบว่า พื้นที่การเกษตรของเราลดน้อยถอยลงมากว่าแต่ก่อน เพราะสี่ปีที่แล้วนั้นเรายังมีพื้นที่ใช้สอยทางการเกษตรอยู่ที่ 149,416,681 ไร่ ซึ่งหายไป180,449 ไร่ และส่วนที่เหลือก็จะเป็นพื้นที่ป่าไม้ พื้นที่นอกการเกษตร และพื้นที่อื่นๆตามลำดับ
ปริมาณน้ำฝนที่ตกในบ้านเราเฉลี่ยทั้งปีก็จะมีปริมาณ 1,700 มิลลิเมตร คิดเป็นปริมาณมวลน้ำก็จะอยู่ประมาณ 800,000 ล้านลูกบาศก์เมตร อย่าเพิ่งดีใจไปนะครับ เพราะบางส่วนซึมลงชั้นใต้ดินไป ระเหยคืนกลับสู่ชั้นบรรยากาศบ้าง เหลือตกค้างให้เราไว้ใช้เพียง 200,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ประมาณเกือบ 30% ซึ่งกระจัดกระจายไปตามห้วย หนอง คลอง บึง และเขื่อนต่างๆ เขื่อนใหญ่เขื่อนขนาดกลางประมาณ 650 แห่ง เขื่อนเล็ก เขื่อนน้อย ฝาย เช็คแดมต่างๆอีก 60,000 แห่ง รวมๆกันก็กักเก็บน้ำไว้ให้เราได้ปีละ 70,800 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำที่มีอยู่ทั้งหมด และน้ำส่วนที่เหลือก็ถูกปล่อยทิ้งลงสู่ทะเลไปแบบไร้การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ….แหม! ช่างน่าเสียดายจริงๆครับ
จากข้อมูลดังกล่าว ประเทศไทยเราจึงไม่น่าจะหลีกหนีความเสี่ยงเกี่ยวกับเรื่องของปัญหาภัยแล้งไปได้ โดยเฉพาะตัวเลขสถิติที่สามารถจับต้องได้จากกรมทรัพยากรน้ำด้วยแล้ว แบบนี้ยิ่งอกสั่นขวัญแขวญเกี่ยวกับภัยแล้งมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกรที่เพาะปลูกพืชไร่ไม้ผลมีความจำเป็นที่จะต้องใช้น้ำเป็นปัจจัยหลักในการเพาะปลูก ในการประกอบอาชีพหลัก เพราะนอกจากเราจะประสบพบเจอปัญหาเรื่องการบริหารจัดการน้ำที่ไว้ใช้ได้น้อยแล้ว เรายังมีปัญหาเรื่องของปรากฎการณ์เอลนีโญที่เกิดขึ้นทุกๆ 4-5 ปีเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง และนักวิชาการบางท่านยังมีความคิดว่าในห้วงช่วง 2-3 ปีมานี้ ภัยแล้งยังเกี่ยวดองหนองยุ่งกับเอลนีโญอยู่อีก ต้องขออนุญาตเรียนว่าไม่น่าจะใช่ผลของเอลนีโญไปเสียทั้งหมดนะครับ สาเหตุที่ภัยแล้งต่อเนื่องยาวนานสองถึงสามปีติดต่อกันเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2557 ถึงปี 2558 นี้ และยังคาดการณ์กันว่าน่าจะแล้งยาวไปจนถึงเดือนพฤษภาคมปี 2559 นี้ด้วยนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของสถานการณ์โลกร้อน (Global Warming) และเรื่องของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง (Climate Change) เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ตามสภาพแวดล้อมและปัจจัยของโลกใบนี้ที่ไม่น่าจะเหมือนเดิมอี่กต่อไปหรือจะเรียกว่าเลวร้ายลงกว่าเดิมไปอีกก็ได้
ความจริงเราๆท่านๆ ก็สามารถสังเกตความแปรปรวนนี้ได้ด้วยตนเองนะครับ โดยดูตัวอย่างง่ายๆจากห้วงช่วงปลายเดือนที่ผ่านมาไม่นานนี้เอง ความหนาวเย็นยะเยือกในระดับตั้งแต่ ติดลบไปจนถึงสิบกว่าๆ องศาเซลเซียสได้คืบคลานเข้ามาปกคลุมบ้านเราแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเกือบค่อนประเทศ ซึ่งขอเดาว่าหลายๆคนคงจะไม่ค่อยได้สัมผัสอากาศหนาวในลักษณะนี้มานานหลายปีก็ว่าได้ ไอ้ที่เคยหนาวๆกันก่อนนี้ก็น่าจะเป็นเพียงความหนาวเล็กๆ น้อยๆ หรือไม่ก็เพียงความรู้สึกเย็นๆเท่านั้น แต่ความหนาวครั้งนี้รู้สึกว่าจะหนาวจนต้องสวมเสื้อกันไว้สองสามชั้นนั่นเชียว และความหนาวเย็นในอดีตก็จะมาในห้วงช่วงปลายธันวาคมและต้นมกราคมเสียมากว่า สภาพการณ์นี้ก็สามารถชี้ให้เห็นถึงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันที่แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปแล้วมากจริงๆ และแว่วๆมาว่าในอีกไม่ช้านี้ก็จะมีหย่อมความกดอากาศสูงจากจีนอีกระลอกหนึ่ง พัดเข้ามา ซึ่งจะส่งผลให้พี่น้องเกษตรกรและพวกเราชาวไทยได้สัมผัสกับอากาศหนาวกันแบบรายสัปดาห์กันเลยทีเดียว (หนาวหนึ่งสัปดาห์ ร้อนหนึ่งสัปดาห์ และก็หนาวอีกหนึ่งสัปดาห์อะไรประมาณนี้) ซึ่งอาจทำให้พืชและสิ่งมีชีวิตนานาชนิดได้รับผลกระทบเกิดความสูญเสียต่อผลผลิตภาคการเกษตรขึ้นมาอีกก็เป็นได้ แล้วก็จะได้เบิกงบช่วยเหลือภัยแล้งกันอีก (หรือเปล่า)
จากปัจจัยลบหลายๆ ด้านที่กล่าวมานี้ ทำให้เรามิอาจนิ่งนอนใจมัวแต่รอขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น หรือขอความช่วยเหลือจากภาครัฐอยู่เพียงอย่างเดียวไม่ได้นะครับ โดยเฉพาะในเรื่องของการบริหารจัดการน้ำ ระบบการชลประทานที่เราฝันกันว่าจะมีให้เกษตรกรได้อย่างทั่วถึงทุกหมู่บ้านหรือทุกพื้นที่ที่มีการเพาะปลูก ก็คงจะนานเกินรอหรืออาจจะเรียกว่าเป็นความหวังลมๆแล้งเสียก็ว่าได้ หรือจะมัวหวังให้มีการสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำให้เพิ่มมากขึ้น ดูแล้วพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการสร้างเขื่อนก็เหลือน้อยเต็มที หรือจะเรียกว่าไม่มีเลยก็ว่าได้
และอีกปัญหาหนึ่งเกี่ยวการสร้างเขื่อนก็คือการประท้วงต่อต้านจากกลุ่มก้อนองค์กรต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับทุนสนับสนุนมาจากต่างประเทศที่ชอบเอารัดเอาเปรียบประเทศด้อยและกำลังพัฒนาอย่างเราๆ ทำให้ปัญหาการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำเพิ่มนั้นเป็นไปได้ค่อนข้างยาก เมื่อไม่สามารถสร้างเขื่อนสร้างฝายบนพื้นที่ที่เหมาะสมได้ในบ้านเราเอง ประเทศที่มีความโดดเด่นเชี่ยวชาญเรื่องเกษตรกรรม แผ่นดินที่เคยได้ชื่อว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” ก็ไปไม่เป็น ง่อยเปลี้ยเสียขา การทำให้ประเทศเจริญประชาชนมั่งคั่งก็ทำได้ลำบาก เพราะไม่สามารถสร้างแหล่งน้ำให้เพียงพอต่อการทำเกษตรกรรมได้ (ดูๆ ไปเหมือนประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายเหล่านั้นจะรู้ว่า ถ้าประเทศเราสามารถบริหารจัดการน้ำได้เพียงพอ เราก็จะร่ำรวยมั่งคั่งเกินหน้ากว่าเขาเป็นแน่แท้
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ต้องท้อใจไปนะครับ เรายังมีทางเลือกอยู่เสมอ อย่างเช่นการน้อมนำทำตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นั่นก็คือการสร้างสระนำประจำไร่นา สระน้ำแก้มลิง ให้มากเพียงพอต่อการเพาะปลูกในพื้นที่ของเราเอง เรียกได้ว่าสระน้ำประจำฟาร์มส่วนตัวของเกษตรกร เพื่อรองรับกับปริมาณน้ำฝน ที่นับวันมีพฤติกรรมที่สะเปะสะปะตกไม่เป็นที่เป็นทาง ไม่ยอมไปตกหลังเขื่อน มัวแต่มาตกหน้าเขื่อน จนทำให้ เขื่อนใหญ่ๆหลายแห่ง มีน้ำสำรองน้อยนิดลงๆ ทุกปี พายุที่เข้า มรสุมที่พัดมาก็มีแต่ฝนที่ตกอยู่หน้าเขื่อน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่เราจะทำสระน้ำประจำฟาร์มส่วนตัวของเราเอง
แต่อย่างว่าไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ บางพื้นที่ของพี่น้องเกษตรกรก็มีปัญหาในเรื่องของสระน้ำที่รั่วซึมกักเก็บน้ำไม่อยู่โดยเฉพาะเมื่อขุดลงไปแล้วพื้นด้านล่างเป็นพื้นที่ดินทราย ดินร่วน มีรูรั่วซึม ซึ่งทำให้น้ำในบ่อหรือสระนั้นๆ ไม่สามารถที่จะกักเก็บน้ำให้อยู่ได้ยาวนานเพียงพอต่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรม บางพื้นที่ก็ปล่อยน้ำลงไปแป๊ปเดียวก็แห้งแล้ว เพราะสาเหตุจากปัญหาเนื้อดินที่มี รูรั่ว รอยแยกแตกระแหง มีช่องว่างของท่อแคปปิรารี (capillary) ที่มีขนาดใหญ่เกินไป
ในกรณีของพื้นบ่อหรือพื้นสระมีปัญหาการกักเก็บน้ำไม่อยู่ รั่วซึมได้ง่าย เราสามารถดูแลแก้ไขได้ด้วยการใช้กลุ่มของสารโพลิเอคริลามายด์ polyacrylamide (สารอุดบ่อ) ซึ่งมีคุณสมบัติของกลุ่มโพลิเมอร์ (Polymer)ชนิดหนึ่ง มีความสามารถ ในการพองขยายตัวและประสานกันเป็นตาข่ายหรือร่างแหเมื่อสัมผัสหรือดูดซับน้ำเข้าไป ตาข่ายหรือร่างแหที่เหนียวลื่นนี้คล้ายๆ กับน้ำมูกในนิทานสมัยเด็กๆ เรื่องไอ้ขี้มูกมากกับไอ้ก้นแหลม สองคนนี้เป็นเพื่อนและพายเรือไปเที่ยวกลางทะเลด้วยกัน ไอ้ก้นแหลมเกิดโต้เถียงกับไอ้ขี้มูกมากแล้วไม่พอใจ เกิดเหตุทะเลาะกันกลางทะเล ไอ้ก้นแหลมเกิดโทสะเถียงไม่ทันจึงเอาก้นกระแทกไปที่ท้องเรือจนเกิดรูรั่ว ไอ้ขี้มูกมากกลัวเรือจมก็สั่งน้ำมูกปิดรูรั่วป้องกันน้ำเข้าลำเรือเอาไว้ ไอ้ก้นแหลมยังไม่หายโมโหก็กระแทกก้นลงไปอีก ไอ้ขี้มูกมากก็สั่งน้ำมูกอุดรูรั่วอีก ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แต้ตอนจบเป็นอย่างไรผู้เขียนก็จำไม่ได้ ขออนุญาตเล่าพอสังเขปให้ท่านผู้อ่านพอนึกภาพของเจ้า “สารอุดบ่อ (polyacrylamide)” ให้ออกก็แล้วกันนะครับ
กลับมาที่สารอุดบ่อ หรือ โพลิเอคริลามายด์ (polyacrylamide) กันต่อนะครับ เมื่อน้ำแทรกซึมเข้าไปในโมเลกุลของสารอุดบ่อแล้ว น้ำสามารถยึดเกาะกับโมเลกุลของสารอุดบ่อได้จากหมู่ของเอมีน (-NH2) ของสารโพลิอะคริลามีด ที่สร้าง “พันธะไฮโดรเจน” กับโมเลกุลน้ำ (H2O) แรงนี้เป็นแรงดึงดูดอย่างอ่อนที่เกิดเฉพาะอะตอมของไฮโดรเจนกับอะตอม ของออกซิเจน (O) หรือไนโตรเจน (N) หรือฟลูออรีน (F) คุณสมบัตินี้ของสารอุดบ่อจะถูกทำให้คลายขยายตัวออกช่วยอุดประสานรูรั่ว ถ้าหว่านลงไปที่พื้นบ่อหรือสระน้ำที่มีลักษณะกักเก็บน้ำไม่อยู่ เขาก็จะไปอุดช่องว่างประสานเนื้อดินไม่ให้เกิดช่องโหว่หรือรูรั่ว
สารอุดบ่อนี้ถือว่าเป็นญาติห่างกับ สารอุ้มน้ำ (Polymer) หรือ Cross linked polyacrylamide copolymer ที่ใช้ในการปลูกป่า สักทอง กฤษณา ยางนา ตะกู เพาว์โลเนีย ฯลฯ นะครับ แต่ “สารอุ้มน้ำ” นี้ ไม่เหนียวลื่นเหมือนกับ “สารอุดบ่อ” ตรงกันข้ามเมื่อสัมผัสกับน้ำแล้วเขาจะพองขยายตัวได้อีกถึง 200 – 400 เท่า เมื่อนำไปใส่โคนต้น หรือ รองก้นหลุมปลูก ก็ช่วยทำให้ต้นไม้ไม่ว่าจะเป็นไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้กระถาง พืชไร่ ไม้ผล ข้าว อ้อย กระท้อน มังคุด ลองกอง ส้ม เงาะ ลำไย ฯลฯ สามารถที่จะรอดพ้นจากอาการยืนต้นตายเพราะขาดน้ำ ช่วยประหยัดเวลา ประหยัดต้นทุนในเรื่องของการให้น้ำ ไม่ต้องรดน้ำทุกวัน ความสามารถในการอุ้มน้ำของ สารอุ้มน้ำนี้ อาจจะไม่ต้องรดน้ำได้เป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน หรือครึ่งปีทีเดียว หรือถ้าเป็นการปลูกป่า (สักทอง กฤษณา ยางนา อื่นๆ) บนภูเขา ก็สามารถใช้สารอุ้มน้ำ (Polymer) รองก้อนหลุมปลูกตั้งแต่ต้นฝน แล้วก็รอไปจนถึงฤดูฝนปีถัดไปได้โดยไม่ต้องรดน้ำเลยก็ยังได้
ส่วนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเกี่ยวกับ สารอุดบ่อ (polyacrylamide) ในการช่วยทำให้เรามีสระน้ำประจำไร่นานั้นก็ถือเป็นเรื่องที่น่าจะช่วยดูแลแก้ไขปัญหาเรื่องภัยแล้งให้กับพี่น้องเกษตรกรได้ค่อนข้างดี เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีการใช้แผ่นพลาสติก พี.อี. ตามแบบระบบของญี่ปุ่นด้วยการนำไปปูที่พื้นบ่อ ต้นแบบที่ว่านี้ท่านผู้อ่านสามารถตามไปดูได้นะครับอยู่ที่ไร่สุวรรณวาจกกสิกิจ อำเภอ ปากช่อง โดยมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการทำให้บ่อสามารถกักเก็บน้ำได้ก็เกือบ 1,000,000 บาท (สามารถสอบถามกับเจ้าหน้าที่ไร่สุวรรณวาจกกสิกิจที่เกี่ยวข้องได้นะครับ) แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมแบบไทยๆเราด้วยการใช้สารอุดบ่อกับหินแร่ภูเขาไฟ ก็น่าจะตกอยู่ประมาณ ไม่เกินไร่ละ 1,600 บาท ต้นทุนดังกล่าวประกอบด้วยการใช้ สารอุดบ่อ 2 กิโลกรัม คลุกผสมกับ หินแร่ภูเขาไฟ สเม็คไทต์ (Smectite) หรือ เบนโธไนท์ (Bentonite) อีก 100 กิโลกรัม ใช้ได้กับพื้นที่สระน้ำ 1 ไร่ ซึ่งถือว่าประหยัดและคุ้มค่ามากๆ แถมมีอายุการใช้งานแบบปีชนปี ฝนชนฝน หรืออาจจะนานได้หลายปีถ้าไม่ปล่อยให้น้ำแห้งพื้นสระแตกระแหง เพียงเท่านี้เราก็สามารถสร้างสระน้ำประจำฟาร์มส่วนตัวของเรามีประสิทธิภาพในการเก็บกักรักษาน้ำไว้ใช้ในการเกษตรได้อย่างยั่งยืนต่อไป
วิธีการทำให้ทำการหว่าน สารอุดบ่อ (polyacrylamide) ร่วมกับหินแร่ภูเขาไฟ สเม็คไทต์ (Smectite) หรือ เบนโธไนท์ (Bentonite) ให้ทั่วพื้นบ่อ แล้วทำการหว่านทรายหยาบทรายละเอียดหรือจะเป็นดินที่ขอบบ่อหลังจากขุดใหม่ๆ มาหว่านโปรยเกลี่ยทับให้ทั่ว แล้วทำทับ บด อัด ให้แน่นด้วย ขอนไม้หรือสามเกลอ นับจากนี้สระน้ำของเราก็มีความพร้อมต่อการรองรับน้ำฝนที่ตกลงมา หรือจะสูบหรือวิดน้ำจากคลองชลประทานหรือบ่อตอก บ่อบาดาลก็ได้เช่นเดียวกัน เมื่อน้ำลงไปอยู่ในสระ สารอุดบ่อ ก็จะทำปฏิกิริยาดังเช่นที่ได้กล่าวไว้ในตอนแรก รอจนเมื่อน้ำเต็มสระแล้วเราก็สามารถใช้ ภูมิปัญญาชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่น ในการสร้างเมือกธรรมชาติ (Bio Slam) เสริมเข้าไปช่วยอีกทางหนึ่ง โดยการทำให้พื้นบ่อเกิดเมือกหรือตะไคร่น้ำขึ้นมาเหมือนกับ ห้วย หนอง คลอง บึง ในสมัยก่อนซึ่งเมื่อลองนึกภาพว่าเราได้จูงควายลงไปเล่นน้ำแบบนิยายเรื่อง ขวัญ-เรียม เมื่อมีโอกาสที่เท้าสัมผัสกับพื้นจะรู้สึกได้ว่ามีความลื่นคล้ายมีเมือก หรือตะไคร่น้ำอยู่ที่พื้นบ่อ นั่นแหละครับ คือเมือกธรรมชาติ (Bio Slime) นั่นเอง เราสามารถสร้างมันขึ้นเองโดยการใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือมูลสัตว์นำไปหว่านโรยให้ทั่วบ่อหลังจากปล่อยน้ำได้ที่แล้ว หรือถ้ากลัวว่าน้ำจะเน่าเพราะใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกมากเกินไป ก็แนะนำให้นำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกห่อใส่ผ้ามุ้งเขียวไว้ก็ได้แล้วนำไปปักไว้ตามจุดต่างๆ เมื่อน้ำเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวก็ยกขึ้นไว้ขอบบ่อ เพราะนั่นแสดงว่าเกิดเมือก (Bio Slime) ที่พื้นบ่อขึ้นมาแล้วด้วยเช่นกัน เพียงเท่านี้เราก็สามารถสร้างเมือกธรรมชาติเสริมประสิทธิภาพกับสารอุดบ่อให้แก่สระน้ำประจำฟาร์มเขาเราได้ไม่ยากแล้วล่ะครับ หลังจากนี้ยังอาจจะนำไรแดง กุ้งฝอย มาปล่อยสร้างรายได้เสริมอีกทางหนึ่งก็ได้เช่นเดียวกันนะครับ
มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com